แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การปฏิบัติงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การปฏิบัติงาน แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เกิดอาเพศใดฤา ปีนี้..ผู้ประสบภัยทุ่นระบิดจึงมากเหลือเกิน

นับแต่ต้นปี พ.ศ.2559 เป็นต้นมา จนถึงขณะนี้ (10 มิ.ย.2559) ยังไม่ถึงครึ่งปี มีผู้ที่ประสบภัยจากทุ่นระเบิดแล้วจำนวน 8 คน เสียชีวิต 2 คน ซึ่งเทียบกับปีที่แล้วมีเพียง 7 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต  

รายละเอียดพอจะสรุปได้ดังนี้  
  • 17 ก.พ.2559 เวลา 06:00 น. คนงานชาวเมียนมาเสียชีวิต 2 คน จากสาเหตุของทุ่นระเบิด บริเวณเชิงเขาบรรทัด บ.สะพานหิน ม.5 ต.แหลมกลัด อ.เมือง จ.ตราด 
  • 1 พ.ค.2559 เวลา 09:30 น. นายสว่าง คำสุขดี อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58 ม.8 และนายธงชัย เผดิมเผ่าพันธุ์ อยู่บ้านเลขที่ 160 ม.2 ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว -ขณะไปหาของป่าทั้งสองเกิดเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN ในบริเวณพื้นที่ บ.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว นายสว่างฯ ข้อเทาซ้ายขาด ส่วนนายธงชัยฯ บริเวณใบหน้า 
  • 2 มิ.ย.2559 เวลา 14:20 น. เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 1 ได้ถูกระเบิดจำนวน 2 นายขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ บริเวณตรงข้าม จต.ต.06 บ.ทัพเสรี ม.12 ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว 
  • 3 มิ.ย.2559 เวลา 16:00 น. นางหลา โกสา อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109 ม.17 บ.ทุ่งสมเด็จ ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN ขาข้างขวาขาด 
  • 10 มิ.ย.2559 เวลา 11:30 น. นายหงส์ สายยศ อายุ 49 ปี บ้านเลขที่ 16 ม.9 บ.ร่มไทร ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เข้าไปเก็บผักเกิดเหยีบทุ่นระเบิด ได้รับบาดเจ็บขาขวาขาดใต้หัวเข่า
ที่มาของเรื่องนี้ก็คือ ประเทศไทยไปลงนามในอนุสัญญาฉบับหนึ่งกับประชาคมโลกที่ชื่อว่า อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) โดยพันธสัญญาที่สำคัญประการหนึ่งก็คือ ประเทศไทยต้องค้นหา เก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดตกค้างจากการสู้รบในอดีตที่ผ่านมา ที่มันยังคงฝังอยู่ใต้พื้นแผ่นดินไทยให้แล้วเสร็จก่อน พ.ศ.2552 แต่จนแล้วจนรอดประเทศไทยทำไม่สำเร็จ จึงบากหน้าขอต่อสัญญาออกไปอีกครั้ง และให้สัญญาใหม่ว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2561  

หากประเทศไทยกู้ทุ่นระเบิดแล้วเสร็จตามสัญญาตั้งแต่แรก 
คงไม่มีผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดให้เห็นจนทุกวันนี้ 



ใครควรรับผิดชอบ
หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิบัติงานตามพันธกรณีของอนุสัญญาออตตาวา ก็คือ "ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ" ทำงานภายใต้อำนาจของคณะกรรมการดำเนินงานทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (National Mine Action Committee : NMAC) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการฯ โดยตำแหน่ง

แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุขึ้น ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดเหล่านี้ ไม่เคยได้รับการเยียวยาใดๆ จากรัฐบาลเลย  ยิ่งเป็นสามัญชนคนธรรมดาด้วยแล้ว คงมีแต่เงินช่วยเหลือตามกฏหมายภัยพิบัติอื่นๆ เหมือนคนทั่วๆ ไป และหากต้องกลายเป็นคนพิการก็ได้รับสิทธิเหมือนคนพิการทั่วๆ ไปเช่นกัน ไม่มีอะไรเป็นพิเศษจากรัฐบาลหรือกฏหมายอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดเลย  

ความรับผิดชอบทั้งหมดควรอยู่ที่รัฐบาล เพราะรัฐบาลไม่ใส่ใจที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้หมดสิ้น ขาดความตระหนักที่จะทุ่มทรัพยากรเพื่อเก็บกู้ทุ่นระเบิดเหล่านี้ให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของราษฎร และเพื่อเป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาคมโลก 

ทางด้านศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติงานด้านนี้เป็นหลัก ก็ขาดการใส่ใจ ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุการเหยียบทุ่นระเบิดขึ้นในประเทศไทย  ต้องจัดตั้งคณะกรรมการออกไปสอบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นไปตามมาตราฐานการปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (NMAS) เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขต่อไป แต่กลับละเลย พยายามปกปิดเรื่องราวข่าวคราวไม่ให้รุกรามใหญ่โต เพราะกลัวจะเป็นความบกพร่องของหน่วยงานตนเอง

การสอบสวนข้อเท็จจริง
การสอบสวนข้อเท็จจริงของการเกิดอุบัติเหตุนั้นมีความจำเป็น  เช่น
  1. เพื่อพิสูจน์ว่าจุดที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ทุ่นระเบิดที่เคยสำรวจและบันทึกไว้แล้วหรือไม่ (แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ) หากอยู่ควรต้องรีบเร่งดำเนินการ  รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงการจัดทำขอบเขตของพื้นที่และติดป้ายแจ้งเตือนอันตรายใหม่ให้ชัดเจน 
  2. หากจุดที่เกิดเหตุเป็นจุดที่เกิดขึ้นใหม่ ต้องรีบดำเนินการสำรวจขอบเขตพื้นที่อันตรายและติดตั้งป้ายแจ้งเตือนใหม่ทันที เพื่อไม่ให้ราษฎรเข้าไปใช้พื้นที่
  3. หากจุดเกิดเหตุเป็นพื้นที่ที่เคยปฏิบัติงานและส่งมอบคืนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ต้องรีบประกาศขอคืนพื้นที่ให้เป็นพื้นที่อันตรายที่มีทุ่นระเบิดเช่นเดิม และรีบเข้าดำเนินการค้นหาและเก็บกู้ทุ่นระเบิดซ้ำในทันที
  4. หาทางช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยจากทุ่นระเบิดให้ได้รับสิทธิต่างๆ ตามที่กฏหมายพึงมีให้
  5. ฯลฯ


Mine Risk Education 
สาเหตุที่มีผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดจำนวนมากในปีนี้ คงไม่น่าใช่อาเพศใดๆ แต่น่าจะเป็นความไม่ค่อยใส่ใจของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องในการดำเนินกิจกรรม "ด้านการแจ้งเตือนและให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากทุ่นระเบิด"  (Mine Risk Education : MRE)  มากกว่า กิจกรรมนี้ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นราษฎรที่จะเป็นกลุ่มเสี่ยง พื้นที่อันตรายที่มีทุ่นระเบิดต้องจัดทำขอบเขตและติดตั้งป้ายแจ้งเตือนให้ชัดเจน 


กิจกรรม MRE นี้ เป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในด้านการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้ราษฎรต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากทุ่นระเบิด ส่วนการค้นหาและเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นเรื่องของหน่วยงานหรือองค์กรที่ต้องได้รับการฝึกฝนและมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ จึงไม่น่าเป็นห่วงอันใด

ขอภาวนาและหวังว่าใน 6 เดือนหลังนี้ จะไม่มีผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดเกิดขึ้นอีก และหวังว่ารัฐบาลต้องดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทยภายในปี พ.ศ.2561 ตามที่ได้สัญญาไว้






















*********************
ชาติชาย คเชนชล : 13 มิ.ย.2559  

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

หนังสือเล่มสีส้ม

หลังจากอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) มีผลบังคับใช้แล้ว การสำรวจผลกระทบจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย (Land Impact Survey : LIS) อย่างเป็นทางการได้เริ่มขึ้นในเดือน พ.ค.2543 โดยศูนย์ปฏิบัติการสำรวจ (Survey Action Center : SAC) เป็นผู้ปฏิบัติการสำรวจ มีองค์การเพื่อความช่วยเหลือแห่งประชาชนชาวนอร์เวย์ (Norwegian People’s Aid : NPA) เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการสำรวจ การสำรวจเสร็จสิ้นในเดือน มิ.ย.2545


วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

Landmine Monitor 2015 @Thailand

องค์กรสากลรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด (International Campaign to Ban Landmines : ICBL) เป็นเครือข่ายระดับโลก ทำงานในพื้นที่กว่า 100 ประเทศ ในการรณรงค์ต่อต้านทุ่นระเบิดและกับระเบิด ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี พ.ศ.2540  ICBL จัดทำรายงาน "Landmine Monitor" เป็นประจำทุกปีตั้งแต่เริ่มอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) เป็นต้นมา เพื่อรายงานผลการดำเนินการตามอนุสัญญาฯ ของแต่ละประเทศที่เข้าร่วมเป็นรัฐภาคี




ข้อมูลเมื่อเดือน พ.ย.2558 มีประเทศที่ร่วมลงนามเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา จำนวน 162 ประเทศ โดยประเทศที่ไม่ยอมลงนามมีอีกประมาณ 34 ประเทศ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเทศที่ยังคงผลิตทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอยู่  เท่าที่ผมรู้ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ เวียดนาม  รัสเซีย อิสราเอล เป็นต้น 

หากมองใกล้ตัวเราในส่วนของประชาคมอาเซียน ประเทศที่ร่วมลงนามเป็นรัฐภาคีมี 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิบปินส์ ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศไม่ได้ร่วมลงนามเป็นรัฐภาคี ได้แก่ ลาว สิงคโปร์ เมียนมา และเวียดนาม 

ในรายงาน Landmine Monitor 2015 ผลการดำเนินงานตามอนุสัญญาฯ ของประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐภาคี ถูกรายงานไว้ดังนี้

ประเทศที่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเก็บไว้เพื่อการฝึกเกิน 1,000 ทุ่น
ประเทศไทยถูกจัดลำดับใน 38 ประเทศว่าเป็นประเทศที่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลสะสมไว้เพื่อการฝึกเกิน 1000 ทุ่น โดยลำดับ 1 คือประเทศฟินแลนด์ เก็บไว้ 16,500 ทุ่น รองลงมาลำดับ 2 ประเทศตุรกี เก็บไว้ 14,902 ทุ่น ประเทศไทย ลำดับที่ 16 เก็บไว้ 3,208 ทุ่น ประเทศกัมพูชา ลำดับที่ 20 เก็บไว้ 2,747 ทุ่น

นอกจากนั้นประเทศไทยยังถูกจัดว่าเป็น 3 ประเทศที่มีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิด มากกว่า 100 ตร.กม.ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้และภาคพื้นแปซิฟิค ซึ่งมีอยู่ 3 ประเทศ คือ อัฟกานิสสถาน กัมพูชา และไทย

การทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ทุ่นระเบิด
ประเทศที่น่าจับตามองเรื่องความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมาตรา 5 ของอนุสัญญาฯ ว่าด้วยเรื่องการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ทุ่นระเบิด มีอยู่จำนวน 33 ประเทศ ทั้งหมดเป็นประเทศที่ได้เคยขอต่อระยะเวลาการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาแล้วครั้งที่ 1 และกำลังจะใกล้สิ้นสุดระยะเวลาตามที่ขอไว้ 

ประเทศไทยหลังจากลงนามในอนุสัญญาออตตวาฯ ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อ 1 พ.ค.2542 ประเทศไทยต้องค้นหาและทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ทุ่นระเบิดที่มีให้หมดในวันที่ 1 พ.ค.2552 (10 ปี หลังเริ่มสัญญา) แต่ประเทศไทยทำไม่สำเร็จ จึงขอขยายระยะเวลาต่อไปอีก 9.5 ปี โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 1 พ.ย.2561 

ในปัจจุบันสถานะของประเทศไทยถูกระบุว่า  "ไม่เป็นไปตามแผนงาน" (Not on track) 

ความพยายามในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด
ประเทศไทยมีการทำงานร่วมกันกับเครือข่ายของผู้พิการจากทุ่นระเบิด มีแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ชัดเจน ผู้ที่รอดชีวิตมีส่วนร่วมในการดำเนินการ แต่ยังขาดกลไกในการประสานงานที่จะนำเสนอความต้องการของผู้รอดชีวิตถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

เงินสนับสนุนจากผู้บริจาค
ในปี พ.ศ.2558 มีผู้บริจาคเงินสนับสนุนการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมทั่วโลก รวมถึง $416.8 ล้าน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 14,554,657,387.00 บาท ประกอบด้วย ประเทศที่เป็นรัฐภาคี 26 ประเทศ และ ประเทศที่ไม่เป็นรัฐภาคี 3 ประเทศ The EU และ 3 สถาบันระดับนานาชาติ 


5 อันดับแรกที่บริจาคเงินสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ($118.01) รองลงมา The EU ($66.8) ตามด้วย ญีุ่่ปุ่น ($49.1) นอร์เวย์ ($41.8) และเนเธอแลนด์ ($25.9) ส่วนประเทศอื่นๆ ดูตามตารางด้านบน  

การปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในประเทศไทยในปี พ.ศ.2558 ก็ได้อานิสงส์จากเงินบริจาคดังกล่าวข้างต้นเหมือนกัน คือ
  • ประเทศนอร์เวย์ ผ่านองค์กรความช่วยเหลือแห่งประชาชนชาวนอร์เวย์ ( Norwegian People’s Aid : NPA) Thailand (ไม่ทราบจำนวน)
  • ประเทศญี่ปุ่น ผ่านโครงการความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจแบบให้เปล่าเพื่อพื้นฐานและความมั่นคงของมนุษย์ (Grant Assistance for Grassroots Human Security Projects : GGP)  จำนวน $342,385.42 (ประมาณ 11.9 ล้านบาท) ให้แก่ มูลนิธิถนนแห่งสันติภาพ (Peace Road Organization Foundation : PRO ) 
  • ประเทศญี่ปุ่น ผ่านกองทุนเพื่อบูรณาการระหว่างญี่ปุ่น-อาเซี่ยน (JAPAN-ASEAN Integration Fund : JAIF)  จำนวน $473,055.96 (ประมาณ 15.4 ล้านบาท) ให้แก่ สมาคมผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือนไทย (Thai Civilian Deminer Association : TDA) 
จากการรายงานของ ICBL  ระบุว่า เงินบริจาคจำนวน $416.8 ล้าน สนับสนุนให้ประเทศไทย จำนวน $1.0 ล้าน ส่วนเพื่อนบ้านในอาเซียนของเรา  ลาวได้รับ $37.3 ล้าน กัมพูชาได้รับ $30.3 ล้าน เวียดนามได้รับ $14.3 ล้าน   เมียนมาได้รับ $5.7 ล้าน 

เงินบริจาคในปี 2558 จำนวน $416.8 ล้าน สามารถจำแนกการสนับสนุนงานด้านต่างๆ ได้ดังนี้
  • งานด้านการกวาดล้างและการแจ้งเตือนให้ความรู้ฯ $281.8 ล้าน คิดเป็นร้อยละ 68
  • งานด้านอื่นๆ $68.5 ล้าน คิดเป็นร้อยละ 16
  • งานด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด $27.7 คิดเป็นร้อยละ 7
  • งานด้านทนายและกฏหมาย $20.7 คิดเป็นร้อยละ 5
  • งานด้านการเพิ่มขีดความสามารถ $14.9 คิดเป็นร้อยละ 4
  • งานด้านการทำลายทุ่นระเบิด $3.2 คิดเป็นร้อยละไม่ถึง 1
สรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในการปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ที่ระบุไว้ในรายงาน "Landmine Monitor 2015" มีเพียงเท่านี้ หากท่านผู้อ่านสนใจค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสืบค้นได้ที่เว็บไซต์ 

Landmine Monitor 2015

ที่อยู่ http://www.the-monitor.org/en-gb/reports/2015/landmine-monitor-2015.aspx

******************
ชาติชาย คเชนชล : 23 มี.ค.2559

การปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิดของไทยในสายตา NPA : NGO ระดับนานาชาติ

องค์กรความช่วยเหลือแห่งประชาชนชาวนอร์เวย์ ( Norwegian People’s Aid : NPA) ซึ่งเป็น NGO ระดับนานาชาติองค์กรหนึ่งของโลกใบนี้ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ แจ้งเตือน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด/กับระเบิด และการลดอาวุธทุกรูปแบบ ได้จัดทำรายงานชื่อว่า "Clearing The Mines"  แจกจ่ายในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ครั้งที่ 14 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่ 30 พ.ย.-4 ธ.ค.2558 ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศไทย พอจะสรุปให้ฟังเพื่อประดับความรู้ได้ดังนี้




ในอนุสัญญาออตตาวา มีประเทศที่ร่วมลงนามเป็นรัฐภาคี ณ ปัจจุบัน จำนวน 162 ประเทศ โดยประเทศในประชาคมอาเซียนที่ร่วมลงนามเป็นรัฐภาคี 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ฟิลิบปินส์ ส่วนที่เหลืออีก 4 ประเทศไม่ได้ร่วมลงนามเป็นรัฐภาคี ได้แก่ ลาว สิงคโปร์ เมียนมา และเวียดนาม  

ประเทศไทยถูกจัดลำดับให้อยู่ใน 10 ประเทศที่มีพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดมากที่สุดในโลก อันได้แก่ Afghanistan Angola Bosnia and Herzegovina Cambodia Chad Croatia Iraq Thailand Turkey และ Zimbabwe
(ข้อมูล เดือน พ.ย.2558) 

การทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ทุ่นระเบิด
ด้านความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมาตรา 5 ของอนุสัญญาฯ ว่าด้วยเรื่องการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ทุ่นระเบิด : ประเทศไทยถูกระบุว่าไม่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานดังกล่าว โดยผู้นำทางการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ขาดการสนับสนุนงบประมาณและการระดมทุนที่จำเป็นในการดำเนินงาน นอกจากนั้นสถานะของประเทศไทยถูกระบุไว้ว่า "ไม่เป็นไปตามแผนงาน" (Not on track) (ประเทศไทยจะสิ้นสุดอนุสัญญาฯ ที่เคยขอต่อไว้ในวันที่ 1 พ.ย.2561)

การจัดอันดับประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละประเทศ
NPA ได้จัดเกณฑ์และตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละประเทศในด้านการเก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดตามพันธกรณีของอนุสัญญาออตตาวา โดยมีเกณฑ์และตัวชี้วัดใน 10 ด้าน ใน
แต่ละด้านมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน ดังนี้
    • ด้านที่ 1 ความเข้าใจปัญหาภัยคุกคามที่มีอยู่ของทุ่นระเบิด 
    • ด้านที่ 2 แนวโน้มความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
    • ด้านที่ 3 การกำหนดเป้​​าหมายในการกวาดล้างทุ่นระเบิด
    • ด้านที่ 4 ประสิทธิภาพของการกวาดล้างทุ่นระเบิด
    • ด้านที่ 5 การระดมแหล่งเงินทุนจากนานาชาติ
    • ด้านที่ 6 กวาดล้างทุ่นระเบิดได้ทันเวลาที่ต้องการและเป็นไปตามความเร่งด่วน
    • ด้านที่ 7 ระบบการปรับลดพื้นที่ด้วยวิธี Land Release
    • ด้านที่ 8 การปฏิบัติงานตามมาตรฐานการปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (NMAS)
    • ด้านที่ 9 รายงานความคืบหน้าตามอนุสัญญา
    • ด้านที่ 10 การปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน (ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา)
    ซึ่งทั้ง 10 ด้านนี้ เหมือนกับทีมตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิดของ International Campaign to Ban Landmines (ICBL) ที่ได้คิดค้นและพัฒนาขึ้นตาม "โครงการประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิด " ของประเทศต่างๆ ที่เป็นรัฐภาคีตามอนุสัญญาออตตาวา เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2557 (ดูรายละเอียด)

    เกณฑ์การแปลความหมาย

    • คะแนนเฉลี่ย 0.0-3.9 หมายถึง มีประสิทธิภาพน้อยมาก 
    • คะแนนเฉลี่ย 4.0-4.9 หมายถึง มีประสิทธิภาพน้อย 
    • คะแนนเฉลี่ย 5.0-6.9 หมายถึง มีประสิทธิภาพปานกลาง 
    • คะแนนเฉลี่ย 7.0 หรือสูงกว่า หมายถึง มีประสิทธิภาพมาก
    ตารางแสดงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิดของประเทศไทยตามอนุสัญญาออตตาวา ปี พ.ศ.2556 และ 2557 โดย NPA 

    ลำดับ
    ด้าน
    ประเทศไทย
    พ.ศ.2556 (2013)
    พ.ศ.2557 (2014)
    คะแนน
    ประสิทธิภาพ
    คะแนน
    ประสิทธิภาพ
    1
    ความเข้าใจปัญหาภัยคุกคามที่มีอยู่ของทุ่นระเบิด  
    4
    น้อย
    5
    ปานกลาง
    2
    แนวโน้มความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
    4
    น้อย
    5
    ปานกลาง
    3
    การกำหนดเป้าหมายในการกวาดล้างทุ่นระเบิด
    5
    ปานกลาง
    7
    มาก
    4
    ประสิทธิภาพของการกวาดล้างทุ่นระเบิด
    5
    ปานกลาง
    6
    ปานกลาง
    5
    การระดมแหล่งเงินทุนจากนานาชาติ
    5
    ปานกลาง
    5
    ปานกลาง
    6
    กวาดล้างทุ่นระเบิดได้ทันเวลาที่ต้องการและเป็นไปตามความเร่งด่วน
    4
    น้อย
    5
    ปานกลาง
    7
    ระบบการปรับลดพื้นที่ด้วยวิธี Land Release
    6
    ปานกลาง
    7
    มาก
    8
    การปฏิบัติการตามมาตรฐานการปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (NMAS)
    6
    ปานกลาง
    7
    มาก
    9
    รายงานความคืบหน้าตามอนุสัญญา
    4
    น้อย
    5
    ปานกลาง
    10
    การปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน (ภายใน12 เดือนที่ผ่านมา)
    7
    มาก
    6
    มาก
    รวม
    5.0
    ปานกลาง
    5.8
    ปานกลาง

    ค่าเฉลี่ยในภาพรวม
    7
    มาก
    6.7
    ปานกลาง

    ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของประเทศไทย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภาพรวมทั้ง 2 ปี
    • ปี พ.ศ.2556 ค่าเฉลี่ยในภาพรวม 7 คะแนน ไทยได้ 5 คะแนน
    • ปี พ.ศ.2557 ค่าเฉลี่ยในภาพรวม 6.7 คะแนน ไทยได้ 5.8 คะแนน
    ลองมาดูประสิทธิภาพการปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิดของประเทศเพื่อนบ้านของเรา อย่างเช่น กัมพูชา  ดูบ้าง ว่ามีประสิทธิภาพแค่ไหน จะได้เป็นตัวเทียบเคียงให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตามภาพด้านล่าง



    สถานะของประเทศกัมพูชาถูกระบุไว้ว่า "ไม่เป็นไปตามแผนงาน" (Not on track) เช่นเดียวกับประเทศไทย (ประเทศกัมพูชาจะสิ้นสุดอนุสัญญาฯ ที่เคยขอต่อไว้ในวันที่ 1 ม.ค.2563) แต่ภาพรวมของการปฏิบัติงานในปี พ.ศ.2557 ประเทศกัมพูชาได้คะแนน 6.6 มากกว่าประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยได้คะแนนเพียง 5.8 หากดูในแต่ละด้านแล้ว มีด้านเดียวที่ประเทศกัมพูชาได้คะแนนต่ำกว่าไทย คือ ด้านที่ 9 รายงานความคืบหน้าตามอนุสัญญา ส่วนด้านที่เหลือเท่ากันและส่วนใหญ่จะมากกว่าไทย 

    ข้อมูลที่นำมาสรุปให้ฟังนี้ ก็เพื่อให้ผู้บริหารระดับนโบายและแผน รวมทั้งหน่วยปฏิบัติงานด้านทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ" ได้พึงตระหนักและพยายามหาวิธีการที่จะกลับมาปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนงาน (On track) มากกว่าที่ประเทศไทยจะถูกตราหน้าว่า "Not on track" ไปตลอด จนกว่าจะสิ้นสุดอนุสัญญาออตตาวา 

    ผมคิดว่า ยังไม่สายเกินไป

    *****************
    จุฑาคเชน : 22 มี.ค.2559

    วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

    เฮง รัตนา กับงานการเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมไทย-กัมพูชา

    ผมได้มีโอกาสเห็นการทำงานของ ฯพณฯ เฮง รัตนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา (H.E.HENG Ratana, Director of the cambodian Mine Action Centre : CMAC) จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2559 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมสเตชั่นวัน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

    วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

    พบสรรพาวุธระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในรอบ 15 ปี

    วันที่ 23 มิ.ย.2558 หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 2 (นปท.2) ของกองทัพเรือ ตรวจพบสรรพาวุธระเบิดที่ถูกละทิ้ง (Abandoned Explosive Ordnance : AXO) จำนวนกว่า 5,000 รายการ บริเวณเทือกเขาบรรทัด บ.หนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด นับเป็นการพบเศษขยะสงครามครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา

    TMAC presentation 2015 (English)

    วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

    โครงการพัฒนาร่วมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา "Green-Belt Area" ความฝันที่อาจเป็นจริง

    ขณะที่ผมกำลังค้นหาหนังสือเก่าๆ เกี่ยวกับการทำงานด้านทุ่นระเบิด เผอิญไปพบเอกสารถ่ายสำเนา "โครงการพัฒนาร่วมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา" บนกระดาษที่มีเส้นบรรทัดเขียนด้วยลายมือของ พลเอก ดร.วสุ ชนะรัตน์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ท่านแรก โดยท่านดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ.2542-2544 น่าสนใจครับ! ท่านเขียนเอาไว้เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2555 แต่ดูเหมือนว่าโครงการฯ นี้จะไม่มีใครให้ความสนใจเท่าใดนัก  

    ผมเลยอยากนำแนวคิดของท่านมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อให้ทราบทั่วกัน ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหารบ้านเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ลองอ่านดูนะครับ

    โครงการพัฒนาร่วมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
    หลักการและเหตุผล
    1. ไทยและกัมพูชา มีพื้นที่ชายแดนติดต่อกันยาวประมาณ 700 กิโลเมตร มีทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างเป็นจำนวนมาก ทั้งในเขตไทยและเขตกัมพูชา อันเนื่องมาจากความขัดแย้งและภัยสงครามในอดีต ราษฎรของทั้งสองประทศบาดเจ็บล้มตาย ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถทำมาหากินได้ตามปกติ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่ต้องฟื้นฟู เยียวยา แก้ไขให้สิ่งแวดล้อมคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว
    2. ทั้งไทยและกัมพูชา ลงนามและให้สัตยาบันเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ตั้งแต่ปีพ.ศ.2540 ทั้งสองประเทศต่างจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมขึ้น เพื่อดำเนินการตามพันธกิจในอนุสัญญาดังกล่าวของกัมพูชาชื่อ ซีแมค (CMAC = Cambodian Mine Action Center) เป็นองค์กรมหาชน ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ของไทยชื่อ ทีแมค (TMAC = Thailand Mine Action Center) ในองค์อุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นหน่วยเฉพาะกิจในกองบัญชาการกองทัพไทย มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ดูแลด้านนโยบาย กระทรวงกลาโหมเคยเสนอให้ยกสถานะของทีแมค เป็นองค์การมหาชนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล แต่เรื่องก็ตกไปเพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล
    3. ในปัจจุบัน ไทยและกัมพูชา มีข้อตกลงที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกันเฉพาะในบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อนข้างเคียง ทั้งสองฝ่ายกำลังยกร่างงานธุรการร่วม หน่วยปฏิบัติการในสนามคือ ทีแมคและซีแมค รวมทั้งหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือน ภายใต้การช่วยเหลือจากต่างประเทศ
    4. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ขณะนี้อยู่ในเกณฑ์ดี และผู้นำในระดับรัฐบาลสามารถไปมาหาสู่เพื่อเจรจาทำข้อตกลงร่วมกันได้ กอร์ปกับในปี พ.ศ.2558 จะเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยน (เออีซี) ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของกลุ่มประเทศอาเซียนทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งด้านสังคมจิตวิทยาจะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของไทยเหมาะที่จะเป็นประตูด่านหน้าของเออีซี ในการเจรจากับกลุ่มประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจ ซึ่งไทยมีความสัมพันธ์อันดีอยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำรัฐบาลไทยในทางบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ สามารถกระตุ้นความสนใจของประเทศต่างๆ ในระดับโลกได้ จะเป็นผลดีต่อรัฐบาลไทยในฐานะประเทศผู้นำตามธรรมชาติ ที่มิตรประเทศในกลุ่มเออีซีให้การยอมรับ เพราะต่างได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทุกแง่มุม อย่างทัดเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
    5. จึงนับว่าเป็นโอกาสดีของทั้งไทยและกัมพูชา ที่จะหยิบยกปัญหาร่วมด้านทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกค้างบริเวณแนวชายแดนของทั้งสองประเทศมาทำข้อตกลงร่วม (เอ็มโอยู) เป็น กรอบยุทธศาสตร์ระยะยาวที่เสริมสร้างความเจริญและความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างประเทศ กระทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อความผาสุกและความอยู่ดีกินดีของประชาชน ช่วยกันกวาดล้างวุตถุอันตรายตลอดแนวชายแดนยาวประมาณ 700 กิโลเมตรดังกล่าว โดยไม่หยิบยกเอาปัญหาการปักปันเขตแดนซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ในบางพื้นที่ มาเป็นอุปสรรค์ขัดขวางการพัฒนาชายแดน ให้เป็นพื้นที่ปลอดทุ่นระเบิดและพัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เจ้าฟ้าหญิงไดแอนน่าสิ้นพระชนม์ ยังไม่มีผู้ใดกระตุ้นสังคมโลกให้สนใจแก้ปัญหาทุ่นระเบิดตกค้าง (Hidden Killers) ตามอนุสัญญาออตตาวาได้เลย นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยจึงมีโอกาสที่จะรับภารกิจระดับโลกชิ้นนี้ โดยริเริ่มกิจกรรมร่วมแบบเบ็ดเสร็จที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนว แปลงพื้นที่อันตรายเป็นพื้นที่ที่มีผลผลิตด้านต่างๆเลี้ยงดูชาวโลกได้ต่อไปในลักษณะคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ซึ่งไทยมีประสบการณ์อยู่แล้วในด้านนี้ แต่ยังขาดพื้นที่ที่เหมาะสมและเพียงพอ
    6. อนุสัญญาออตตาวา กำหนดกิจกรรมหลักด้านมนุษยธรรมไว้ 4 กิจกรรมคือ
      1. การแจ้งเตือนและให้ความรู้ (Mine Awareness)
      2. การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (Mine Victims Assistance)
      3. การกวาดล้างทุ่นระเบิด (Mine Clearance)
      4. การพัฒนาพื้นที่ (Area Development)
    7. กิจกรรมที่ใช้เวลามากที่สุดคือกิจกรรม 6.3 ซึ่งต้องทำด้วยความรอบคอบได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล ซึ่งในขณะนี้ทั้งไทยและกัมพูชามีความสามารถอยู่แล้ว และมีการวิจัยพัฒนาเครื่องมือร่วมกับรัฐภาคีอย่างต่อเนื่อง มีการประชุมที่องค์การสหประชาชาติกรุงเจนีวาทุกปี ข้อแตกต่างระหว่างสองประเทศ ก็คือ ขณะที่ซีแมคเป็นองค์การมหาชนตามมาตรฐานสากล  แต่  ทีแมคของไทย ยังคงเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ฝ่ายทหารดูแล  ซึ่งจุดอ่อนคือรัฐภาคีบางรัฐไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ และกำลังพลที่ฝึกอบรมแล้วมีโอกาสโยกย้ายอยู่เสมอ หาผู้ที่ย้ายเข้ามาบรรจุทดแทนยาก และต้องฝึกอบรมกันใหม่ทำให้สิ้นเปลืองและเสียเวลา จึงสมควรปรับสถานะของทีแมคให้เป็นองค์การมหาชน ทัดเทียมกับซีแมคของกัมพูชาจึงจะมีความคล่องตัวและต่อเนื่องในการปฏิบัติงานร่วมกันในระยะยาว และเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
    8. กิจกรรมที่ปฏิบัติได้ทันที โดยใช้องคาพยพขององค์กรต่างๆทั้งของฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาคือกิจกรรม 6.1,6.2,และ 6.4
    9. กิจกรรม 6.1 ได้แก่การล้อมรั้วติดป้ายแจ้งเตือนพื้นที่อันตรายตามมาตรฐานสากล รวมทั้งการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ เกี่ยวกับพิษภัยและหลีกเลี่ยงอันตราย รวมทั้งการให้ข้อมูลการรายงานเหตุการณ์ต่อเจ้าหน้าที่
    10. กิจกรรม 6.2 ได้แก่ การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเยียวยา(เพราะเป็นอุบัติภัยที่มีผลสืบเนื่องมาจากฝ่ายรัฐ) การฝึกอาชีพต่อผู้ประสบภัยและครอบครัว
    11. กิจกรรม 6.3 ได้แก่การสำรวจพื้นที่อันตราย การพิสูจน์ทราบขอบเขตของสนามทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกค้างอยู่ในพื้นที่ การเก็บกู้ การทำลาย การตรวจสอบว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยแล้วตามมาตรฐานสากล การรายงานผลการปฏิบัติงานต่อที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวาในองค์การสหประชาชาติ ประจำปี เป็นต้น
    12. กิจกรรม 6.4 ได้แก่การพัฒนาพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้วในด้านสาธารณูปโภค ด้านเศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยา แนวคิดในการพัฒนาพื้นที่ตลอดแนวชายแดนร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา เช่นการทำคอนแทรคฟาร์มิ่ง ด้านปศุสัตว์ พืชเศรษฐกิจ พืชเชื้อเพลิงเขียว พืชทดแทนน้ำมันจากฟอสซิลฯลฯ เป็นการสร้างงาน สร้างความมั่นคงอย่างสันติวิธีร่วมกันที่พื้นที่ชายแดน เป็นยุทธศาสตร์ป้องกันชายแดนตามนโยบายของรัฐบาล ปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าวจำนวนมากจะหยุดอยู่ที่ชายแดน แทนที่จะทะลักเข้ามาในเขตภายในมากเกินไป
    13. พื้นที่ที่พัฒนาร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา อาจกำหนดกรอบความลึกข้างละ 5 กิโลเมตร รวมความลึก 10 กิโลเมตร ความยาวตลอดแนวจากจังหวัดตราดถึงจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งยาวประมาณ 700 กิโลเมตร  หรือ 4,375,000 ไร่
    14. หากโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ อาจเป็นต้นแบบกับพื้นที่ชายแดนที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกันทางบก ระหว่างไทย-ลาว ไทย-พม่า และไทย-มาเลเซีย ได้ต่อไป ความเป็นปึกแผ่นและความสันติสุขร่วมกันระหว่าง 5 ประเทศ ซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลางจะติดตามมา เป็นตัวอย่างของการใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม แห่งการมีโครงการด้านมนุษยธรรมต้อนรับปี 2558 ของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เป็นรูปธรรม ได้ประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ฝ่ายไทยจัดการโดยทีแมคที่เป็นองค์การมหาชน




    วัตถุประสงค์
    เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทย และประเทศกัมพูชา ลึกเข้าไปด้านละ 5 กิโลเมตร  เป็นเขตเศษฐกิจร่วมตลอดแนวชายแดน บริหารจัดการร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา โดยจัดทำเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ (เอ็มโอยู) มีผลบังคับใช้ เมื่อรัฐสภาของทั้งสองฝ่ายให้ความเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษา


    เป้าหมาย 
    คณะกรรมการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่งตั่งคณะอนุกรรมการยกร่างข้อตกลงระหว่างประเทศ(เอ็มโอยู) ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเขตเศรษฐกิจร่วม ลึกเข้าไปด้านละ 5 กิโลเมตร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นประธานอนุกรรมการ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับความเห็นชอบจากรัฐสภาของแต่ละฝ่าย จัดทำแผนปฏิบัติการ 5 ปี (พ.ศ.2556-พ.ศ.2560)ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2556

    ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

    1. พื้นที่ชายแดนไทย และพื้นที่ชายแดนกัมพูชา เนื้อที่ 7,000 ตารางกิโลเมตร (4,375,000 ไร่) เป็นพื้นที่ปลอดภัยต่อการดำรงชีพ ปลอดทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกค้าง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งและสงครามในอดีต
    2. ผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดและครอบครัว ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรฐานสากล จากรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และมิตรประเทศ
    3. เกิดระบบพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วม ในลักษณะคอนแทรกฟาร์มมิ่ง ที่ให้ผลผลิตสูง ที่ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของโครงการทำสัญญากับภาคเอกชน ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย
    4. ทีแมคได้รับการยกสถานะเป็นองค์การมหาชน ภายใต้นายกรัฐมนตรี บริหารจัดการโครงการนี้ในฐานะตัวแทนรัฐบาลฝ่ายไทย


    ลงชื่อ
    พลเอก ดร.วสุ ชนะรัตน์
    ผู้ยกร่างโครงการฯ          
    27 ต.ค.2555

    **************************