อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม
ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
อารัมภบท
รัฐภาคี
มุ่งมั่นจะยุติความทุกข์ทรมานและการสูญเสียที่เกิดจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ซึ่งสังหารหรือทำให้ประชาชนนับร้อยคน
ซึ่งส่วนมากเป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์และไม่สามารถป้องกันตนเองได้ โดยเฉพาะเด็ก ๆ
ต้องทุพพลภาพทุกสัปดาห์ ขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจและการบูรณะประเทศ
เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางกลับถิ่นฐานเดิมของผู้ลี้ภัยและพลัดถิ่นในประเทศ และส่งผลร้ายแรงอื่น
ๆ นานนับปีหลังจากการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
เชื่อว่า จำเป็นต้องกระทำอย่างดีที่สุดเพื่อมีส่วนช่วยในการเผชิญความยากลำบากในการรื้อถอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ซึ่งได้ถูกวางไว้ทั่วโลก โดยวิธีการที่มีประสิทธิภาพและประสานกัน
และเพื่อให้แน่ใจว่ามีการทำลายทุ่นระเบิดดังกล่าว
ปรารถนาที่จะกระทำอย่างดีที่สุดเพื่อจักหาความช่วยเหลือในการเอาใจใส่
และฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมรวมทั้งการกลับเข้าร่วมระบบสังคมและเศรษฐกิจ
ให้แก่ผู้ประสบภัยทุ่นระเบิด
ตระหนักว่า
การห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยสมบูรณ์เป็นมาตรการสร้างความไว้วางใจที่สำคัญประการหนึ่งด้วยเช่นกัน
ยินดีต่อการรับเอาพิธีสารว่าด้วยการห้ามหรือการจำกัดการใช้ทุ่นระเบิด
กับระเบิด และอาวุธอื่น ซึ่งได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1996
ผนวกอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามหรือการจำกัดการใช้อาวุธตามแบบบางชนิดที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงมากเกินไปหรือก่อให้เกิดผลโดยไม่จำกัดเป้าหมาย
และเรียกร้องให้ทุกรัฐที่ยังมิได้ให้สัตยาบัน
ดำเนินการให้สัตยาบันพิธีสารนี้โดยเร็ว
ยินดีต่อข้อมติสมัชชาแห่งสหประชาชาติที่
51/45 เอส เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1996
ซึ่งเรียกร้องให้รัฐทุกรัฐดำเนินการอย่างเต็มที่
เพื่อจัดทำความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายและมีประสิทธิภาพเพื่อห้ามการใช้
สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
เน้นย้ำบทบาทของจิตสำนึกของสาธารณชนที่จะส่งเสริมหลักการมนุษยธรรมต่อไป
ดังมีหลักฐานจากการเรียกร้องให้มีการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยสมบูรณ์
และตระหนักถึงความพยายามเพื่อเป้าหมายดังกล่าวซึ่งดำเนินการโดยขบวนการกาชาดและซีกวงเดือนแดงระหว่างประเทศ
องค์การรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิดทางบก
และองค์กรที่มิใช่ของรัฐบาลอื่น ๆ จำนวนมากทั่วโลก
ระลึกถึงแถลงการณ์กรุงออตตาวาเมื่อวันที่
5 ตุลาคม ค.ศ. 1996 และแถลงการณ์กรุงบรัสเซลส์เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1997
ซึ่งเร่งรัดให้ประชาคมระหว่างประเทศเจรจาจัดทำความตกลงระหว่างประเทสที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
เพื่อห้ามการใช้ สะสม ผลิต และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ย้ำว่า
การชักจูงให้รัฐทุกรัฐยึดมั่นในอนุสัญญานี้ เป็นสิ่งพึงปรารถนา
และมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างแข็งขันในการส่งเสริมความเป็นสากลของ
อนุสัญญาในกรอบการประชุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สหประชาชาติ
ที่ประชุมลดกำลังอาวุธ กลุ่มและองค์การระดับภูมิภาคต่าง ๆ
และการประชุมทบทวนอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามหรือการจำกัดการใช้อาวุธตามแบบบางชนิดที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงมากเกินไปหรือก่อให้เกิดผลโดยไม่จำกัดเป้าหมาย
ตั้งอยู่บนหลักการของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่ว่า
ภาคีในการขัดกันด้วยอาวุธจะถูกจำกัดสิทธิที่จะเลือกวิธีหรือวิธีการสงคราม
บนหลักการที่ว่า ในระหว่างการขัดกันด้วยอาวุธ ห้ามการใช้อาวุธโปรเจ็คไตล์
วัสดุและวิธีการสงคราม ในลักษณะที่จะก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่เกินเหตุ
หรือการทรมานโดยไม่จำเป็น และบนหลักการที่ต้องแยกพลเรือนและพลรบออกจากกัน
ได้ข้อตกลงดังต่อไปนี้
ข้อ 1
พันธกรณีทั่วไป
1. ไม่ว่าในพฤติการณ์ใด
รัฐภาคีแต่ละรัฐรับผูกพันที่จะไม่
เอ)
ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
บี)
พัฒนา ผลิต หรือได้มาด้วยวิธีอื่น สะสม จัดเก็บ หรือโอนไปสู่ผู้ใด
ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ซี)
ช่วยเหลือ สนับสนุนหรือชักจูงผู้ใดให้เข้าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ต้องห้ามแก่รัฐภายใต้อนุสัญญานี้
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
2. รัฐภาคีแต่ละรัฐรับผูกพันที่จะทำลายหรือดำเนินการให้แน่ใจว่ามีการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดโดยสอดคล้องกับบทบัญญัติของอนุสัญญานี้
ข้อ 2
คำจำกัดความ
1. “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” หมายถึง
ทุ่นระเบิดที่ได้รับการออกแบบให้ระเบิดเมื่อบุคคลปรากฎตัว เข้าใกล้ หรือสัมผัส
และจะทำให้บุคคลหนึ่งหรือมากกว่า ทุพพลภาพ บาดเจ็บ เสียชีวิต
ทุ่นระเบิดซึ่งได้รับการออกแบบให้ระเบิดเมื่อมีการปรากฎ
เข้าใกล้หรือสัมผัสโดยยานพาหนะ มิใช่บุคคล และติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันการเก็บกู้
ไม่ถือว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยผลของการติดตั้งดังกล่าว
2. “ทุ่นระเบิด” หมายถึง อาวุธที่ได้รับการออกแบบให้ติดตั้งอยู่ใต้
บนหรือใกล้พื้นดิน หรือบริเวณพื้นผิวใด
และเพื่อให้ระเบิดเมื่อบุคคลหรือยานพาหนะปรากฎตัว เข้าใกล้หรือสัมผัส
3. “อุปกรณ์ป้องกันการเก็บกู้” หมายถึง
อุปกรณ์ที่ตั้งใจทำขึ้นเพื่อปกป้องทุ่นระเบิดและที่เป็นส่วนหนึ่งของทุ่นระเบิด
ซึ่งเชื่อมติดอยู่หรือติดตั้งอยู่ใต้ทุ่นระเบิด
และจะทำงานเมื่อมีความพยายามจะถอดชนวน หรือยุ่งเกี่ยวกับทุ่นระเบิดโดยตั้งใจ
4. “การโอน”
นอกจากการขนย้ายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทางกายภาพเข้ามาหรือออกนอกอาณาเขตของชาติแล้ว
ยังเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิและการควบคุมทุ่นระเบิด
แต่ไม่เกี่ยวกับการโอนดินแดนที่มีการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไว้
5. “พื้นที่ทุ่นระเบิด” หมายถึง
พื้นที่ซึ่งเป็นอันตรายอันเนื่องมาจากการมีทุ่นระเบิดหรือสงสัยว่ามีทุ่นระเบิด
ข้อ 3
ข้อยกเว้น
1. นอกเหนือจากพันธกรณีทั่วไปภายใต้ข้อ 1 แล้ว
อนุญาตให้จัดเก็บหรือโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้จำนวนหนึ่งเพื่อการพัฒนา
การฝึกอบรมในการตรวจค้นทุ่นระเบิด การกวาดล้างทุ่นระเบิด
หรือวิธีการทำลายทุ่นระเบิด จำนวนของทุ่นระเบิดดังกล่าว จะต้องไม่เกินจำนวนต่ำสุดที่จำเป็นอย่างที่สุดเพื่อวัตถุประสงค์ข้างต้น
2. อนุญาตให้โอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลเพื่อความมุ่งประสงค์ในการทำลาย
ข้อ 4
การทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่มีสะสมไว้
เว้นแต่ที่ได้ระบุไว้ในข้อ
3 รัฐภาคีแต่ละรัฐรับผูกพันที่จะทำลายหรือดำเนินการให้แน่ใจว่า
มีการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่มีสะสมไว้ทั้งหมด ซึ่งรัฐภาคีนั้นเป็นเจ้าของหรือครอบครอง
หรืออยู่ในเขตอำนาจหรือการควบคุมของรัฐภาคีนั้นโดยเร็วที่สุด แต่ต้องไม่เกิน 4 ปี
หลังจากที่อนุสัญญานี้มีผลบังคับใช้สำหรับรัฐภาคีนั้น
ข้อ 5
การทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ทุ่นระเบิด
1. รัฐภาคีแต่ละรัฐรับผูกพันที่จะทำลายหรือดำเนินการให้แน่ใจว่า
มีการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ในพื้นที่ทุ่นระเบิดภายใต้เขตอำนาจหรือการควบคุมของรัฐภาคีนั้นโดยเร็วที่สุด
แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี หลังจากที่อนุสัญญานี้มีผลบังคับใช้สำหรับรัฐภาคีนั้น
2. รัฐภาคีแต่ละรัฐจะต้องใช้ความพยายามทุกอย่าง
ที่จะแสดงตำแหน่งพื้นที่ภายใต้เขตอำนาจหรือควบคุมของรัฐภาคีนั้น
ซึ่งทราบหรือสงสัยว่ามีทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และจะต้องดำเนินการให้แน่ใจโดยเร็วที่สุดว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดในพื้นที่ทุ่นระเบิดภายใต้เขตอำนาจหรือการควบคุบของรัฐภาคีนั้น
ได้รับการแสดงเขตบริเวณ มีการเฝ้าตรวจ และป้องกันโดยการใช้รั้วล้อมหรือวิธีอื่นใด
เพื่อดำเนินการให้แน่ใจว่า มีการแยกพลเรือนออกไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จนกว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่มีอยู่ในพื้นที่นั้นจะถูกทำลายทั้งหมด
เครื่องหมายแสดงตำแหน่ง อย่างน้อยที่สุด จะต้องได้มาตรฐานที่กำหนดไว้ในพิธีสารว่าด้วยการห้ามหรือการจำกัดการใช้ทุ่นระเบิด
กับระเบิด และอาวุธอื่น ซึ่งได้รับการแก้ไขเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1996
ผนวกอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามหรือการจำกัดการใช้อาวุธตามแบบบางชนิดที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรงมากเกินไปหรือก่อให้เกิดผลโดยไม่จำกัดเป้าหมาย
3. หากรัฐภาคีเชื่อว่าตนจะไม่มีความสามารถที่จะทำลาย
หรือดำเนินการให้แน่ใจว่า
มีการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดตามที่อ้างถึงในวรรค 1
ภายในระยะเวลาดังกล่าว รัฐภาคีนั้นอาจร้องขอต่อที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมทบทวน
เพื่อขยายกำหนดเวลาในการดำเนินการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลดังกล่าวให้เสร็จสิ้น
ออกไปเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
4. คำร้องขอแต่ละครั้งจะประกอบด้วย
เอ)
ระยะเวลาที่เสนอขอขยายออกไป
บี)
คำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับเหตุผลของการขยายเวลาที่เสนอ ซึ่งรวมถึง
(1)
การเตรียมการและสถานะของงานที่ดำเนินการภายใต้โครงการระดับชาติในการกวาดล้างทุ่นระเบิด
(2)
วิธีการด้านเทคนิคและด้านการเงินที่รัฐภาคีนำมาใช้ได้ในการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมด
และ
(3)
พฤติการณ์ที่ขัดขวางความสามารถของรัฐภาคีที่จะทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดในพื้นที่ทุ่นระเบิด
ซี)
ผลระทบด้านมนุษยธรรม สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของการขยายเวลา และ
ดี)
ข้อสนเทศอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับคำร้องขอในการขยายเวลา
5.
ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมทบทวนจะประเมินคำร้องขอและวินิจฉัยคะแนนเสียงข้างมากของรัฐภาคีที่มาประชุมและลงคะแนนเสียง
ว่าจะอนุมัติคำร้องขอขยายเวลาหรือไม่ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ ตามวรรค 4
6.
การขยายเวลาดังกล่าวอาจขยายต่อได้อีกโดยมีคำร้องขอใหม่ตามวรรค 3, 4 และ 5
ของข้อนี้ ในการร้องขอขยายเวลาต่อไปอีก
รัฐภาคีจะต้องยื่นข้อสนเทศที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้วในช่วงเวลาที่ได้ขยายครั้งก่อนตามข้อนี้
ข้อ 6
ความร่วมมือและความช่วยเหลือระหว่างประเทศ
1. ในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญานี้
รัฐภาคีแต่ละรัฐมีสิทธิแสวงหาหรือรับความช่วยเหลือในส่วนที่ทำได้จากรัฐภาคีอื่น ๆ
เท่าที่เป็นไปได้
2. รัฐภาคีแต่ละรัฐรับผูกพันที่จะอำนวยความสะดวกแก่
และมีสิทธิที่จะเข้าร่วมอย่างเต็มที่เท่าที่เป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนอุปกรณ์
วัสดุและข้อสนเทศด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญานี้
รัฐภาคีจะไม่กำหนดข้อจำกัดที่ไม่สมควรต่อการจัดหาอุปกรณ์กวาดล้างทุ่นระเบิดและข้อสนเทศด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อความมุ่งประสงค์ด้านมนุษยธรรม
3. รัฐภาคีแต่ละรัฐที่อยู่ในฐานะที่ทำได้
จะให้ความช่วยเหลือในการเอาใจใส่ฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิม
รวมทั้งการกลับเข้าร่วมระบบสังคมและเศรษฐกิจของผู้ประสบภัยทุ่นระเบิด
และต่อโครงการให้ความรู้เกี่ยวกับภัยของทุ่นระเบิด ความช่วยเหลือดังกล่าวอาจให้ผ่านระบบของสหประชาชาติ
องค์การหรือสถาบันระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาคหรือระดับชาติ
คณะกรรมการกาชาดและสภาซีกวงเดือนแดงในระดับประเทศ
และสมาพันธ์ระหว่างประเทศของสภากาชาดและสภาซีกวงเดือนแดง องค์กรที่มิใช่ของรัฐบาล
หรือในระดับทวิภาคี เป็นต้น
4. รัฐภาคีแต่ละรัฐที่อยู่ในฐานะที่ทำได้
จะให้ความช่วยเหลือในการกวาดล้างทุ่นระเบิดและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
ความช่วยเหลือดังกล่าวอาจผ่านระบบสหประชาชาติ
องค์การหรือสถาบันระหว่างประเทศหรือระดับภูมิภาค
องค์การหรือสถาบันที่มิใช่ของรัฐบาล หรือในระดับทวิภาคี
หรือโดยการบริจาคสมทบกองทุนโดยสมัครใจของสหประชาชาติเพื่อความช่วยเหลือในการกวาดล้างทุ่นระเบิด
หรือกองทุนระดับภูมิภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เป็นต้น
5. รัฐภาคีแต่ละรัฐที่อยู่ในฐานะที่ทำได้
จะให้ความช่วยเหลือในการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่มีสะสมไว้
6.
รัฐภาคีแต่ละรัฐรับผูกพันที่จะให้ข้อสนเทศแก่ฐานข้อมูลเกี่ยวกับการกวาดล้างทุ่นระเบิด
ซึ่งจัดตั้งขึ้นภายในระบบของสหประชาชาติ
โดยเฉพาะงานที่เชี่ยวชาญหรือจุดประสานระดับชาติในการกวาดล้างทุ่นระเบิด
7. รัฐภาคีอาจร้องของให้สหประชาชาติ
องค์การระดับภูมิภาค รัฐภาคีอื่น ๆ
หรือที่ประชุมระหว่างรัฐบาลที่มีอำนาจหรือที่ประชุมที่มิใช่ของรัฐบาล
ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นในการจัดทำโครงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดระดับชาติ
เพื่อกำหนดเรื่องต่าง ๆ เช่น
เอ)
ระดับและขอบเขตของปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
บี)
แหล่งเงินทุน ทรัพยากรด้านเทคโนโลยี และทรัพยากรมนุษย์
ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติตามโครงการ
ซี)
ประมาณการจำนวนปีที่จำเป็นในการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดในพื้นที่ทุ่นระเบิดภายในเขตอำนาจหรือการควบคุมของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ดี)
กิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับภัยของทุ่นระเบิดเพื่อลดจำนวนการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่เกี่ยวกับทุ่นระเบิด
อี)
ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยทุ่นระเบิด
เอฟ)
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง กับองค์ภาวะของรัฐบาล
ระหว่างรัฐบาลและที่มิใช่ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะดำเนินงานการปฏิบัติตามโครงการ
8.
รัฐภาคีแต่ละรัฐที่ให้และรับความช่วยเหลือภายใต้บทบัญญัติของข้อนี้จะร่วมมือกันเพื่อดำเนินการให้แน่ใจว่าจะปฏิบัติโครงการความช่วยเหลือที่ตกลงกันอย่างเต็มที่และโดยพลัน
ข้อ 7
มาตรการด้านความโปร่งใส
1. รัฐภาคีแต่ละรัฐจะรายงานต่อเลขาธิการสหประชาชาติโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
และไม่ว่าในกรณีใดภายในเวลาไม่เกิน 180 วัน
หลังจากการมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญานี้สำหรับรัฐภาคีนั้น ในเรื่องดังนี้
เอ)
มาตรการการปฏิบัติตามอนุสัญญาในระดับชาติที่อ้างถึงในข้อ 9
บี)
จำนวนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดที่รัฐภาคีเป็นเจ้าของหรือครอบครอง
หรือภายในเขตอำนาจ หรือการควบคุมของรัฐภาคีนั้น โดยให้รวมถึงการแบ่งหมวดหมู่ของแบบ
ปริมาณ และหากเป็นไปได้ หมายเลขคุมของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแต่ละแบบที่สะสมไว้
ซี)
ที่ตั้งของพื้นที่ทุ่นระเบิดที่มี หรือสงสัยว่าจะมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ภายในเขตอำนาจหรือการควบคุมของรัฐภาคีนั้นเท่าที่จะกระทำได้
โดยให้รวมถึงรายละเอียดให้มากที่สุดเกี่ยวกับแบบและปริมาณของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในแต่ละแบบที่มีอยู่ในพื้นที่ทุ่นระเบิดแต่ละแห่ง
และเวลาที่ได้วางทุ่นระเบิดไว้
ดี)
แบบ ปริมาณ และหากเป็นไปได้
หมายเลยคุมของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งหมดที่จัดเก็บหรือโอนสำหรับการพัฒนาและการฝึกอบรมเทคนิคในการตรวจค้นทุ่นระเบิด
การกวาดล้างทุ่นระเบิดหรือการทำลายทุ่นระเบิด
หรือการโอนเพื่อความมุ่งประสงค์ในการทำลาย
รวมทั้งสถาบันที่ได้รับอนุญาตจากรัฐภาคีให้จัดเก็บหรือโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
โดยสอดคล้องกับข้อ 3
อี)
สถานะของโครงการดัดแปลงหรือปลดประจำการสิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
เอฟ)
สถานะของโครงการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลตามข้อ 4 และ 5
รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับกรรมวิธีซึ่งจะใช้ในการทำลาย ที่ตั้งสถานที่ที่จะใช้ในการทำลาย
และมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่ใช้อยู่และที่จะยึดถือ
จี)
แบบและปริมาณทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ถูกทำลายหลังจากมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญานี้สำหรับรัฐภาคีนั้น
โดยให้รวมถึงการแบ่งหมวดหมู่ของปริมาณทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในแต่ละแบบที่ถูกทำลายตามข้อ
4 และ 5 ตามลำดับ และหากเป็นไปได้
พร้อมด้วยหมายคุมของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของแต่ละแบบในกรณีของการทำลายโดยสอดคล้องกับข้อ
4
เอช)
คุณลักษณะทางด้านเทคนิคของทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในแต่ละแบบที่ผลิตขึ้นเท่าที่ทราบ
และทุ่นระเบิดที่รัฐภาคีเป็นเจ้าของหรือครอบครองในขณะนี้
โดยเมื่อเป็นไปได้โดยสมเหตุสมผล
ให้ข้อสนเทศในประเภทที่อาจอำนวยความสะดวกต่อการแสดงตำแหน่งและการกวาดล้างทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
โดยข้อสนเทศนี้อย่างน้อยที่สุดจะต้องรวมถึงมิติ การจุดชนวน
องค์ประกอบของวัตถุระเบิด องค์ประกอบของโลหะ ภาพสี และข้อสนเทศอื่นที่อาจอำนวยความสะดวกต่อการกวาดล้างทุ่นระเบิด
และ
ไอ)
มาตรการที่กำหนดสำหรับการแจ้งเตือนโดยทันทีและมีประสิทธิภาพต่อประชากรในพื้นที่ทั้งหมดที่ได้แสดงตำแหน่งไว้ตามวรรค
2 ของข้อ 5
2.
รัฐภาคีจะต้องปรับปรุงข้อสนเทศที่ให้ตามข้อนี้ให้ทันสมัยทุกปี โดยครอบคลุมปีปฏิทินที่ผ่านมา
และจะต้องรายงานข้อสนเทศดังกล่าวต่อเลขาธิการสหประชาชาติไม่เกินวันที่ 30 เมษายน
ของแต่ละปี
3.
เลขาธิการสหประชาชาติจะส่งรายงานดังกล่าวทั้งหมดไปยังรัฐภาคี
ข้อ 8
การอำนวยความสะดวกและการให้ความกระจ่างต่อการปฏิบัติตามพันธกรณี
1. รัฐภาคีตกลงที่จะปรึกษาหารือและร่วมมือกันเกี่ยวกับการปฏิบัติตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้
และดำเนินงานร่วมกันด้วยเจตนารมณ์ของความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกให้รัฐภาคีปฏิบัติตามพันธกรณีของตนภายใต้อนุสัญญานี้
2. หากรัฐภาคีหนึ่งรัฐหรือมากกว่า
ประสงค์จะขอความกระจ่างและขอให้แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ของรัฐภาคีอีกรัฐหนึ่ง
รัฐภาคีนั้นอาจร้องขอความกระจ่างในเรื่องดังกล่าวไปยังรัฐภาคีอีกรัฐหนึ่งโดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ
คำร้องขอดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยข้อสนเทศที่เหมาะสมทั้งหมด รัฐภาคีแต่ละรัฐจะต้องเว้นจากการร้องขอความกระจ่างที่ปราศจากเหตุอันควร
โดยใช้ความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ไปในทางที่ผิด
รัฐภาคีหนึ่งที่ได้รับการร้องขอความกระจ่าง จะต้องจัดหาข้อสนเทศทั้งหมดที่สนับสนุนการให้ความกระจ่างในเรื่องนี้
ให้แก่รัฐภาคีที่ร้องขอภายใน 28 วัน โดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ
3.
หากรัฐภาคีที่ร้องขอมิได้รับคำตอบโดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติภายในระยะเวลาดังกล่าว
หรือเห็นว่า คำตอบต่อการร้องขอความกระจ่างยังไม่เป็นที่พอใจ
รัฐภาคีนั้นอาจเสนอเรื่องโดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติเข้าสู่การประชุมรัฐภาคีครั้งต่อไป
เลขาธิการสหประชาชาติจะส่งเรื่องดังกล่าวพร้อมกับข้อสนเทศที่เหมาะสมทั้งหมดเกี่ยวกับการร้องขอความกระจ่างไปยังรัฐภาคีทั้งหมด
ข้อสนเทศทั้งหมดเหล่านี้จะต้องส่งไปยังรัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอ
ซึ่งมีสิทธิที่จะตอบโต้ได้
4. ในระหว่างที่รอการจัดประชุมรัฐภาคีครั้งใด
รัฐภาคีใดที่เกี่ยวข้องอาจร้องขอให้เลขาธิการสหประชาชาติเป็นผู้รับติดต่อเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการให้ความกระจ่างที่ร้องขอ
5.
รัฐภาคีที่ร้องขออาจเสนอโดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติให้จัดการประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษเพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว
เลขาธิการสหประชาชาติจะแจ้งข้อเสนอนี้และข้อสนเทศทั้งหมดที่ได้รับจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้องไปยังรัฐภาคีทั้งหมด
โดยร้องขอให้รัฐภาคีทั้งหมดระบุว่าสนับสนุนให้จัดการประชุมสมัยพิเศษหรือไม่
เพื่อความประสงค์ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ในกรณีที่รัฐภาคีจำนวนหนึ่งในสามเป็นอย่างน้อยสนับสนุนการจัดประชุมสมัยพิเศษดังกล่าวภายใน
14 วันหลังจากวันที่แจ้งดังกล่าว
เลขาธิการสหประชาชาติจะจัดประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษภายใน 14 วันถัดไป
การประชุมนี้จะถือว่าครบองค์ประชุมเมื่อมีรัฐภาคีจำนวนข้างมากเข้าร่วม
6. ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษแล้วแต่กรณี
จะกำหนดในเบื้องแรกว่า จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวต่อไปหรือไม่โดยคำนึงถึงข้อสนเทศทั้งหมดที่เสนอขึ้นโดยรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง
ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษจะพยายามทุกวิถีทางที่จะมีข้อวินิจฉัยโดยฉันทามติ
หากได้พยายามทุกวิถีทางดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถตกลงกันได้ ที่ประชุมจะวินิจฉัยเสียงข้างมากของรัฐภาคีที่มาประชุมและออกเสียง
7.
รัฐภาคีทั้งหมดจะร่วมมืออย่างเต็มที่กับที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษในการดำเนินการทบทวนเรื่องดังกล่าว
รวมทั้งกับคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงใด ๆ ซึ่งได้รับมอบหมายหน้าที่ตามวรรค 8
8. หากจำเป็นต้องได้รับความกระจ่างเพิ่มเติม
ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษจะอนุมัติให้ส่งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง
และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว
โดยเสียงข้างมากของรัฐภาคีที่มาประชุมและลงคะแนนเสียง ณ เวลาใดก็ตาม
รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขออาจเชิญคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงเข้าไปในอาณาเขตของรัฐภาคีนั้นได้
คณะดังกล่าวจะปฏิบัติภารกิจโดยไม่ต้องให้ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษมีข้อวินิจฉัยอนุมัติภารกิจ
คณะดังกล่าวประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญไม่เกิน 9 คน
ซึ่งแต่งตั้งขึ้นและได้รับความเห็นชอบตามวรรค 9 และ 10
อาจเก็บข้อสนเทศเพิ่มเติมในพื้นที่หรือในสถานที่อื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่มีการกล่าวอ้าง
และอยู่ภายใต้เขตอำนาจหรือการควบคุมของรัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอ
9. เลขาธิการสหประชาชาติจะจัดเตรียมบัญชีรายชื่อ
สัญชาติ และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องของผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ซึ่งจัดหาให้โดยรัฐภาคี และส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าวให้แก่รัฐภาคีทั้งหมด
รวมทั้งปรับปรุงบัญชีดังกล่าวให้ทันสมัย ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในบัญชีนี้จะถือว่าได้รับแต่งตั้งสำหรับภารกิจตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด
เว้นแต่ภาคีหนึ่งจะประกาศไม่ยอมรับเป็นลายลักษณ์อักษร ในกรณีที่ไม่ยอมรับ
และหากการประกาศไม่ยอมรับนั้นกระทำก่อนการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญสำหรับการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวจะไม่เข้าร่วมในภารกิจตรวจสอบข้อเท็จจริงในอาณาเขตหรือในสถานที่อื่นใดภายใต้เขตอำนาจหรือการควบคุมของรัฐที่คัดค้าน
10.
เมื่อได้รับการร้องขอจากที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษ
เลขาธิการสหประชาชาติจะแต่งตั้งสมาชิกของคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งหัวหน้าคณะ
หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือกับรัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอแล้ว คนชาติของรัฐภาคีที่ร้องขอให้มีคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง
หรือคนชาติของรัฐภาคีที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการร้องขอ
จะได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
สมาชิกของคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงจะได้รับเอกสิทธิและความคุ้มกันภายใต้ข้อ 6
ของอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิและความคุ้มกันของสหประชาชาติ รับเอาเมื่อวันที่ 13
กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946
11. สมาชิกของคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงจะเดินทางถึงอาณาเขตของรัฐที่ได้รับการร้องขอในโอกาสแรก
โดยแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 72 ชั่วโมง รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอจะต้องดำเนินมาตรการทางการบริหารที่จำเป็นสำหรับการรับ
การเดินทาง และการจัดหาที่พักให้คณะดังกล่าว
และจะต้องรับผิดชอบการประกันความปลอดภัยแก่คณะในขอบเขตที่กว้างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในระหว่างที่คณะอยู่ในอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐภาคีนั้น
12. คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจนำอุปกรณ์ที่จำเป็น
ซึ่งจะใช้เฉพาะในการเก็บข้อสนเทศเกี่ยวกับประเด็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่กล่าวอ้าง
เข้าไปในอาณาเขตของรัฐที่ได้รับการร้องขอได้
โดยไม่เป็นที่เสื่อมเสียต่ออธิปไตยของรัฐที่ได้รับการร้องขอ
คณะจะต้องแจ้งรัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอก่อนเดินทางถึงว่า
ประสงค์จะใช้อุปกรณ์ใดในงานของคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง
13. รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอจะพยายามทุกประการที่จะดำเนินการให้แน่ใจว่า
คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงรับโอกาสในการสนทนากับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ซึ่งอาจให้ข้อสนเทศที่เกี่ยวกับประเด็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่กล่าวอ้างได้
14.
รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอจะต้องอนุญาตให้คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงเข้าถึงพื้นที่และที่ตั้งทุกแห่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐภาคีนั้น
ซึ่งคาดหมายได้ว่า จะสามารถรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาที่กล่าวอ้างได้
ทั้งนี้ ให้ขึ้นอยู่กับการจัดการใด ๆ
ที่รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอพิจารณาว่าจำเป็นสำหรับ
เอ)
การระวังป้องกันอุปกรณ์ ข้อสนเทศและพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อน
บี)
การคุ้มครองพันธะตามรัฐธรรมนูญที่รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขออาจมี
ในเรื่องกรรมสิทธิ์ การค้นและการยึด หรือสิทธิทางรัฐธรรมนูญอื่นใด หรือ
ซี)
การคุ้มครองทางร่างกายและความปลอดภัยของสมาชิกของคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง
ในกรณีที่รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอจัดการดังกล่าว
รัฐภาคีนั้นจะพยายามอย่างสมเหตุสมผลทุกประการที่จะแสดงว่าได้ปฏิบัติตามอนุสัญญานี้ด้วยวิถีทางอื่น
15.
คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงอาจอยู่ในอาณาเขตของรัฐภาคีที่เกี่ยวข้องได้ไม่เกิน
14 วัน และในพื้นที่เฉพาะใด ๆ ได้ไม่เกิน 7 วัน เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น
16.
ข้อสนเทศทั้งหมดที่ได้ให้โดยทางลับและไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องของภารกิจตรวจสอบข้อเท็จจริง
ให้ถือเป็นความลับ
17.
คณะตรวจสอบข้อเท็จจริงจะรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษ
โดยผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ
18.
ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษจะพิจารณาข้อสนเทศที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งรายงานที่เสนอโดยคณะตรวจสอบข้อเท็จจริง
และอาจร้องขอให้รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอ
ดำเนินมาตรการเพื่อแก้ไขประเด็นการปฏิบัติตามอนุสัญญานั้นภายในระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน
รัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอจะรายงานมาตรการที่ได้ดำเนินการ
เพื่อตอบสนองคำร้องขอดังกล่าว
19. ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษอาจเสนอแนะหนทางและวิถีทางแก่รัฐภาคีที่เกี่ยวข้องให้ความกระจ่างเพิ่มขึ้นหรือแก้ไขปัญหาที่กำลังพิจารณา
ซึ่งรวมถึงการเริ่มต้นกระบวนการที่เหมาะสมโดยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
ในพฤติการณ์ที่ประเด็นพิจารณาได้รับการชี้ขาดว่าเป็นผลจากพฤติการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐภาคีที่ได้รับการร้องขอ
ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษอาจเสนอแนะมาตรการที่เหมาะสม
ซึ่งรวมถึงการใช้มาตรการความร่วมมือตามที่อ้างถึงในข้อ 6
20.
ที่ประชุมรัฐภาคีหรือที่ประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษจะพยายามทุกประการที่จะมีข้อวินิจฉัยตามที่อ้างถึงในวรรค
18 และ 19 โดยฉันทามติ หรือมิฉะนั้นโดยเสียงข้างมากสองในสามของรัฐภาคีที่มาประชุมและลงคะแนนเสียง
ข้อ 9
มาตรการการปฏิบัติตามในระดับชาติ
รัฐภาคีแต่ละรัฐจะดำเนินมาตรการด้านกฎหมาย
ด้านบริหาร และด้านอื่น ๆ ที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดบทลงโทษทางอาญา
เพื่อป้องกันและปราบปรามกิจกรรมใด ๆ ซึ่งต้องห้ามสำหรับรัฐภาคีภายใต้อนุสัญญานี้
ที่กระทำโดยบุคคลหรือในอาณาเขตภายใต้เขตอำนาจหรือการควบคุมของรัฐภาคีนั้น
ข้อ 10
การระงับข้อพิพาท
1.
รัฐภาคีจะปรึกษาหารือและร่วมมือกันเพื่อระงับข้อพิพาทใด ๆ
ที่อาจเกิดขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้หรือการตีความตามอนุสัญญานี้
รัฐภาคีแต่ละรัฐอาจนำข้อพิพาทดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมรัฐภาคี
2.
ที่ประชุมรัฐภาคีอาจมีส่วนช่วยระงับข้อพิพาทโดยทุกวิถีทางที่เห็นว่าเหมาะสม
ซึ่งรวมถึงการเสนอตัวเป็นผู้รับติดต่อ
การเรียกร้องให้รัฐที่เป็นคู่กรณีในข้อพิพาทเริ่มกระบวนการระงับข้อพิพาทตามทางเลือกของรัฐเหล่านั้น
และการเสนอแนะกำหนดระยะเวลาสำหรับกระบวนการใด ๆ ที่ตกลงร่วมกัน
3.
ความในข้อนี้ไม่เป็นที่เสื่อมเสียต่อบทบัญญัติของอนุสัญญานี้ในเรื่องการอำนวยความสะดวกและการให้ความกระจ่างในการปฏิบัติตามพันธกรณี
ข้อ
11
การประชุมรัฐภาคี
1.
รัฐภาคีจะประชุมโดยสม่ำเสมอเพื่อพิจารณาเรื่องใด
ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ หรือการปฏิบัติตามอนุสัญญานี้ ซึ่งรวมถึง
เอ)
การปฏิบัติการและสถานะของอนุสัญญานี้
บี)
เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดจากรายงานที่เสนอตามบทบัญญัติของอนุสัญญานี้
ซี)
ความร่วมมือและความช่วยเหลือระหว่างประเทศตามข้อ 6
ดี)
พัฒนาการของเทคโนโลยีเพื่อกวาดล้างทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
อี)
เรื่องที่รัฐภาคีเสนอภายใต้ข้อ 8 และ
เอฟ)
ข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องที่รัฐภาคีเสนอตามที่ได้บัญญัติไว้ในข้อ 5
2. การประชุมรัฐภาคีครั้งแรกจะจัดขึ้นโดยเลขาธิการสหประชาชาติภายใน
1 ปี หลังจากมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญานี้
การประชุมครั้งต่อไปจะจัดขึ้นทุกปีโดยเลขาธิการสหประชาชาติ
จนกว่าจะมีการประชุมทบทวนครั้งแรก
3. ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ 8
เลขาธิการสหประชาชาติจะจัดการประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษ
4. รัฐที่ไม่ใช่ภาคีของอนุสัญญานี้
เช่นเดียวกับสหประชาชาติ สถาบันและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ องค์การระดับภูมิภาค
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และองค์การที่มิใช่ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง
อาจได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ โดยสอดคล้องกับข้อบังคับการประชุมที่ได้ตกลงกัน
ข้อ 12
การประชุมทบทวน
1. การประชุมทบทวนจะจัดขึ้นโดยเลขาธิการสหประชาชาติ
5 ปี หลังจากการมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญานี้ การประชุมทบทวนครั้งต่อไปจะจัดขึ้นโดยเลขาธิการสหประชาชาติหากได้รับการร้องขอโดยรัฐสมาชิกหนึ่งรัฐหรือมากกว่า
โดยมีเงื่อนไขว่า ช่วงเวลาระหว่างการประชุมทบทวนแต่ละครั้งจะไม่น้อยกว่า 5 ปี ไม่ว่าในกรณีใด
รัฐภาคีของอนุสัญญานี้ทั้งหมดจะได้รับเชิญไปร่วมการประชุมทบทวนแต่ละครั้ง
ข้อ 13
การแก้ไขอนุสัญญา
1. เมื่อไหร่ก็ตามหลังมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญานี้
รัฐภาคีใด ๆ อาจเสนอการแก้ไขอนุสัญญานี้ได้ ให้แจ้งข้อเสนอใด ๆ เพื่อแก้ไขแก่ผู้เก็บรักษา
ซึ่งจะเวียนข้อเสนอดังกล่าวไปยังรัฐภาคีทั้งหมด
และขอความเห็นของรัฐภาคีทั้งหมดว่าควรจะจัดการประชุมเพื่อแก้ไขอนุสัญญาขึ้นเพื่อพิจารณาข้อเสนอหรือไม่
หากภายใน 30 วันหลังจาการเวียนข้อเสนอ
รัฐภาคีส่วนมากแจ้งแก่ผู้เก็บรักษาว่าสนับสนุนการพิจารณาข้อเสนอต่อไป
ผู้เก็บรักษาจะจัดการประชุมเพื่อแก้ไขอนุสัญญา โดยจะชวนรัฐภาคีทั้งหมดเข้าร่วม
2. รัฐที่ไม่ใช่รัฐภาคีของอนุสัญญานี้
เช่นเดียวกับสหประชาชาติ สถาบันและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ องค์การระดับภูมิภาค
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และองค์การที่มิใช่ของรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง
อาจได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมเพื่อแก้ไขอนุสัญญาในแต่ละครั้งในฐานะผู้สังเกตการณ์
โดยสอดคล้องกับข้อบังคับการประชุมที่ได้ตกลงกัน
3. การประชุมเพื่อแก้ไขอนุสัญญาจะจัดขึ้นทันทีหลังจากการประชุมรัฐภาคีหรือการประชุมทบทวน
เว้นแต่รัฐภาคีส่วนมากได้ร้องขอให้จัดเร็วขึ้น
4. ให้รับเอาการแก้ไขอนุสัญญานี้ใด ๆ โดยเสียงข้างมากสองในสามของรัฐภาคีที่มาประชุมและลงคะแนนเสียงในที่ประชุมเพื่อแก้ไขอนุสัญญา
ผู้เก็บรักษาจะแจ้งการแก้ไขที่ได้รับเอาแล้วไปยังรัฐภาคี
5. การแก้ไขอนุสัญญานี้ใด ๆ จะมีผลบังคับใช้ในรัฐภาคีของอนุสัญญานี้ทั้งหมดซึ่งได้ยอมรับการแก้ไขนั้นเมื่อได้มีการส่งมอบสารการยอมรับโดยรัฐภาคีส่วนมาก
หลังจากนั้นการแก้ไขนั้นจะส่งผลบังคับใช้สำหรับรัฐภาคีที่เหลือใด ๆ ในวันที่ส่งมอบสารการยอมรับของรัฐนั้น
ข้อ 14.
ค่าใช้จ่าย
1. รัฐภาคีและรัฐที่มิใช่ภาคีอนุสัญญานี้ที่เข้าร่วมการประชุม
จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของการประชุมรัฐภาคี การประชุมรัฐภาคีสมัยพิเศษ
การประชุมทบทวน และการประชุมเพื่อแก้ไขอนุสัญญา ตามสัดส่วนอัตราประเมินของสหประชาชาติที่ได้ปรับอย่างเหมาะสม
2. รัฐภาคีและและรัฐที่มิใช่ภาคีอนุสัญญานี้ที่เข้าร่วมการประชุม
จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดแก่เลขาธิการสหประชาชาติภายใต้ข้อ 7 และ 8
และค่าใช้จ่ายของภารกิจการตรวจสอบข้อเท็จจริงใด ๆ
ตามสัดส่วนอัตราประเมินของสหประชาชาติที่ได้ปรับอย่างเหมาะสม
ข้อ 15
การลงนาม
อนุสัญญานี้
ซึ่งทำ ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1997
เปิดให้รัฐทั้งหมดลงนามที่กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ.
1997 จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1997 และที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ
ที่นครนิวยอร์ก ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1997
จนถึงวันที่อนุสัญญามีผลบังคับใช้
ข้อ 16
การให้สัตยาบัน การยอมรับ
การให้ความเห็นชอบ และการภาคยานุวัติ
1. อนุสัญญานี้อยู่ภายใต้บังคับของการให้สัตยาบัน
การยอมรับ หรือการให้ความเห็นชอบโดยรัฐผู้ลงนาม
2. อนุสัญญานี้จะเปิดให้รัฐใดก็ตามที่มิได้ลงนามอนุสัญญาภาคยานุวัติ
3. สัตยาบันสาร สารการยอมรับ
สารให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติสาร ให้ส่งมอบแก่ผู้เก็บรักษา
ข้อ 17
การมีผลบังคับใช้
1.
อนุสัญญานี้จะมีผลบังคับใช้ในวันแรกของเดือนที่ 6 หลังจากเดือนที่มีการส่งมอบสัตยาบันสาร
สารการยอมรับ สารให้ความเห็นชอบ หรือภาคยานนุวัติสารฉบับที่ 40
2. สำหรับรัฐใดที่ส่งมอบสัตยาบันสาร สารการยอมรับ
สารให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติสารของรัฐนั้นหลังจากวันที่ส่งมอบสัตยาบันสาร
สารการยอมรับ สารให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติสารฉบับที่ 40
อนุสัญญานี้จะมีผลบังคับใช้ในวันแรกของเดือนที่ 6
หลังจากวันที่รัฐนั้นได้ส่งมอบสัตยาบันสาร สารการยอมรับ
สารให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติสารของรัฐนั้น
ข้อ 18
การใช้อนุสัญญาเป็นการชั่วคราว
รัฐใด ๆ
อาจประกาศในขณะที่รัฐนั้นให้สัตยาบัน ยอมรับ ให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติอนุสัญญานี้
ว่ารัฐนั้นจะใช้ข้อ 1 วรรค 1
ของอนุสัญญานี้เป็นการชั่วคราวในระหว่างที่รอให้อนุสัญญานี้มีผลบังคับใช้
ข้อ 19
ข้อสงวน
ข้อต่าง ๆ
ของอนุสัญญานี้จะไม่อยู่ภายใต้บังคับของข้อสงวน
ข้อ 20
ระยะเวลาและการถอนตัว
1. อนุสัญญานี้มีระยะเวลาใช้ได้โดยไม่จำกัด
2. รัฐภาคีแต่ละรัฐ ในการใช้อธิปไตยของชาติ
มีสิทธิที่จะถอนตัวจากอนุสัญญานี้
รัฐภาคีนั้นจะแจ้งการถอนตัวดังกล่าวไปยังรัฐภาคีอื่น ๆ ทั้งหมดไปยังผู้เก็บรักษา
และไปยังคณะมนตรีความมั่งคงแห่งสหประชาชาติ
สารการถอนตัวให้รวมถึงคำอธิบายอย่างสมบูรณ์ถึงเหตุผลของการถอนตัวดังกล่าว
3. การถอนตัวดังกล่าวจะมีผลต่อเมื่อ 6
เดือนหลังจากผู้ที่เก็บรักษาได้รับสารการถอนตัว อย่างไรก็ตาม หากเมื่อครบกำหนด 6
เดือน รัฐภาคีผู้ถอนตัวกำลังอยู่ในการขัดกันด้วยอาวุธ
การถอนตัวไม่มีผลก่อนการสิ้นสุดของการขัดกันด้วยอาวุธนั้น
4. การถอนตัวของรัฐภาคีจากอนุสัญญานี้ไม่กระทบทางใด
ๆ ต่อหน้าที่ของรัฐที่จะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีภายใต้กฎที่เกี่ยวข้องใด ๆ
ของกฎหมายระหว่างประเทศต่อไป
ข้อ 21
ผู้เก็บรักษา
ให้เลขาธิการสหประชาชาติเป็นผู้เก็บรักษาอนุสัญญานี้
ข้อ 22
ตัวบทที่ถูกต้อง
ต้นฉบับของอนุสัญญานี้
ซึ่งจัดทำขึ้นเป็นภาษาอาหรับ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส
ภาษารัสเซียและภาษาสเปน เป็นต้นฉบับที่ถูกต้องเท่าเทียมกัน
และให้เก็บรักษาไว้กับเลขาธิการสหประชาชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น