ขณะที่ผมกำลังค้นหาหนังสือเก่าๆ เกี่ยวกับการทำงานด้านทุ่นระเบิด เผอิญไปพบเอกสารถ่ายสำเนา "โครงการพัฒนาร่วมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา" บนกระดาษที่มีเส้นบรรทัดเขียนด้วยลายมือของ พลเอก ดร.วสุ ชนะรัตน์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ท่านแรก โดยท่านดำรงตำแหน่งระหว่างปี พ.ศ.2542-2544 น่าสนใจครับ! ท่านเขียนเอาไว้เมื่อวันที่ 27 ต.ค.2555 แต่ดูเหมือนว่าโครงการฯ นี้จะไม่มีใครให้ความสนใจเท่าใดนัก
ผมเลยอยากนำแนวคิดของท่านมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อให้ทราบทั่วกัน ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหารบ้านเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ลองอ่านดูนะครับ
ผมเลยอยากนำแนวคิดของท่านมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อให้ทราบทั่วกัน ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริหารบ้านเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้องได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ลองอ่านดูนะครับ
โครงการพัฒนาร่วมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
หลักการและเหตุผล- ไทยและกัมพูชา มีพื้นที่ชายแดนติดต่อกันยาวประมาณ 700 กิโลเมตร มีทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างเป็นจำนวนมาก ทั้งในเขตไทยและเขตกัมพูชา อันเนื่องมาจากความขัดแย้งและภัยสงครามในอดีต ราษฎรของทั้งสองประทศบาดเจ็บล้มตาย ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถทำมาหากินได้ตามปกติ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่ต้องฟื้นฟู เยียวยา แก้ไขให้สิ่งแวดล้อมคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว
- ทั้งไทยและกัมพูชา ลงนามและให้สัตยาบันเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ตั้งแต่ปีพ.ศ.2540 ทั้งสองประเทศต่างจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมขึ้น เพื่อดำเนินการตามพันธกิจในอนุสัญญาดังกล่าวของกัมพูชาชื่อ ซีแมค (CMAC = Cambodian Mine Action Center) เป็นองค์กรมหาชน ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ของไทยชื่อ ทีแมค (TMAC = Thailand Mine Action Center) ในองค์อุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นหน่วยเฉพาะกิจในกองบัญชาการกองทัพไทย มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ดูแลด้านนโยบาย กระทรวงกลาโหมเคยเสนอให้ยกสถานะของทีแมค เป็นองค์การมหาชนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล แต่เรื่องก็ตกไปเพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล
- ในปัจจุบัน ไทยและกัมพูชา มีข้อตกลงที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกันเฉพาะในบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อนข้างเคียง ทั้งสองฝ่ายกำลังยกร่างงานธุรการร่วม หน่วยปฏิบัติการในสนามคือ ทีแมคและซีแมค รวมทั้งหน่วยเก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือน ภายใต้การช่วยเหลือจากต่างประเทศ
- ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา ขณะนี้อยู่ในเกณฑ์ดี และผู้นำในระดับรัฐบาลสามารถไปมาหาสู่เพื่อเจรจาทำข้อตกลงร่วมกันได้ กอร์ปกับในปี พ.ศ.2558 จะเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยน (เออีซี) ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของกลุ่มประเทศอาเซียนทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งด้านสังคมจิตวิทยาจะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของไทยเหมาะที่จะเป็นประตูด่านหน้าของเออีซี ในการเจรจากับกลุ่มประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจ ซึ่งไทยมีความสัมพันธ์อันดีอยู่แล้วในปัจจุบัน ดังนั้นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำรัฐบาลไทยในทางบวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ สามารถกระตุ้นความสนใจของประเทศต่างๆ ในระดับโลกได้ จะเป็นผลดีต่อรัฐบาลไทยในฐานะประเทศผู้นำตามธรรมชาติ ที่มิตรประเทศในกลุ่มเออีซีให้การยอมรับ เพราะต่างได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทุกแง่มุม อย่างทัดเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
- จึงนับว่าเป็นโอกาสดีของทั้งไทยและกัมพูชา ที่จะหยิบยกปัญหาร่วมด้านทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกค้างบริเวณแนวชายแดนของทั้งสองประเทศมาทำข้อตกลงร่วม (เอ็มโอยู) เป็น กรอบยุทธศาสตร์ระยะยาวที่เสริมสร้างความเจริญและความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างประเทศ กระทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อความผาสุกและความอยู่ดีกินดีของประชาชน ช่วยกันกวาดล้างวุตถุอันตรายตลอดแนวชายแดนยาวประมาณ 700 กิโลเมตรดังกล่าว โดยไม่หยิบยกเอาปัญหาการปักปันเขตแดนซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ในบางพื้นที่ มาเป็นอุปสรรค์ขัดขวางการพัฒนาชายแดน ให้เป็นพื้นที่ปลอดทุ่นระเบิดและพัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เจ้าฟ้าหญิงไดแอนน่าสิ้นพระชนม์ ยังไม่มีผู้ใดกระตุ้นสังคมโลกให้สนใจแก้ปัญหาทุ่นระเบิดตกค้าง (Hidden Killers) ตามอนุสัญญาออตตาวาได้เลย นายกรัฐมนตรีหญิงของไทยจึงมีโอกาสที่จะรับภารกิจระดับโลกชิ้นนี้ โดยริเริ่มกิจกรรมร่วมแบบเบ็ดเสร็จที่ชายแดนไทย-กัมพูชาตลอดแนว แปลงพื้นที่อันตรายเป็นพื้นที่ที่มีผลผลิตด้านต่างๆเลี้ยงดูชาวโลกได้ต่อไปในลักษณะคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ซึ่งไทยมีประสบการณ์อยู่แล้วในด้านนี้ แต่ยังขาดพื้นที่ที่เหมาะสมและเพียงพอ
- อนุสัญญาออตตาวา กำหนดกิจกรรมหลักด้านมนุษยธรรมไว้ 4 กิจกรรมคือ
- การแจ้งเตือนและให้ความรู้ (Mine Awareness)
- การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (Mine Victims Assistance)
- การกวาดล้างทุ่นระเบิด (Mine Clearance)
- การพัฒนาพื้นที่ (Area Development)
- กิจกรรมที่ใช้เวลามากที่สุดคือกิจกรรม 6.3 ซึ่งต้องทำด้วยความรอบคอบได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล ซึ่งในขณะนี้ทั้งไทยและกัมพูชามีความสามารถอยู่แล้ว และมีการวิจัยพัฒนาเครื่องมือร่วมกับรัฐภาคีอย่างต่อเนื่อง มีการประชุมที่องค์การสหประชาชาติกรุงเจนีวาทุกปี ข้อแตกต่างระหว่างสองประเทศ ก็คือ ขณะที่ซีแมคเป็นองค์การมหาชนตามมาตรฐานสากล แต่ ทีแมคของไทย ยังคงเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ฝ่ายทหารดูแล ซึ่งจุดอ่อนคือรัฐภาคีบางรัฐไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ และกำลังพลที่ฝึกอบรมแล้วมีโอกาสโยกย้ายอยู่เสมอ หาผู้ที่ย้ายเข้ามาบรรจุทดแทนยาก และต้องฝึกอบรมกันใหม่ทำให้สิ้นเปลืองและเสียเวลา จึงสมควรปรับสถานะของทีแมคให้เป็นองค์การมหาชน ทัดเทียมกับซีแมคของกัมพูชาจึงจะมีความคล่องตัวและต่อเนื่องในการปฏิบัติงานร่วมกันในระยะยาว และเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
- กิจกรรมที่ปฏิบัติได้ทันที โดยใช้องคาพยพขององค์กรต่างๆทั้งของฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาคือกิจกรรม 6.1,6.2,และ 6.4
- กิจกรรม 6.1 ได้แก่การล้อมรั้วติดป้ายแจ้งเตือนพื้นที่อันตรายตามมาตรฐานสากล รวมทั้งการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ เกี่ยวกับพิษภัยและหลีกเลี่ยงอันตราย รวมทั้งการให้ข้อมูลการรายงานเหตุการณ์ต่อเจ้าหน้าที่
- กิจกรรม 6.2 ได้แก่ การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเยียวยา(เพราะเป็นอุบัติภัยที่มีผลสืบเนื่องมาจากฝ่ายรัฐ) การฝึกอาชีพต่อผู้ประสบภัยและครอบครัว
- กิจกรรม 6.3 ได้แก่การสำรวจพื้นที่อันตราย การพิสูจน์ทราบขอบเขตของสนามทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกค้างอยู่ในพื้นที่ การเก็บกู้ การทำลาย การตรวจสอบว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยแล้วตามมาตรฐานสากล การรายงานผลการปฏิบัติงานต่อที่ประชุมอนุสัญญาออตตาวาในองค์การสหประชาชาติ ประจำปี เป็นต้น
- กิจกรรม 6.4 ได้แก่การพัฒนาพื้นที่ที่ปลอดภัยแล้วในด้านสาธารณูปโภค ด้านเศรษฐกิจและสังคมจิตวิทยา แนวคิดในการพัฒนาพื้นที่ตลอดแนวชายแดนร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา เช่นการทำคอนแทรคฟาร์มิ่ง ด้านปศุสัตว์ พืชเศรษฐกิจ พืชเชื้อเพลิงเขียว พืชทดแทนน้ำมันจากฟอสซิลฯลฯ เป็นการสร้างงาน สร้างความมั่นคงอย่างสันติวิธีร่วมกันที่พื้นที่ชายแดน เป็นยุทธศาสตร์ป้องกันชายแดนตามนโยบายของรัฐบาล ปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าวจำนวนมากจะหยุดอยู่ที่ชายแดน แทนที่จะทะลักเข้ามาในเขตภายในมากเกินไป
- พื้นที่ที่พัฒนาร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา อาจกำหนดกรอบความลึกข้างละ 5 กิโลเมตร รวมความลึก 10 กิโลเมตร ความยาวตลอดแนวจากจังหวัดตราดถึงจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งยาวประมาณ 700 กิโลเมตร หรือ 4,375,000 ไร่
- หากโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ อาจเป็นต้นแบบกับพื้นที่ชายแดนที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกันทางบก ระหว่างไทย-ลาว ไทย-พม่า และไทย-มาเลเซีย ได้ต่อไป ความเป็นปึกแผ่นและความสันติสุขร่วมกันระหว่าง 5 ประเทศ ซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลางจะติดตามมา เป็นตัวอย่างของการใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม แห่งการมีโครงการด้านมนุษยธรรมต้อนรับปี 2558 ของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เป็นรูปธรรม ได้ประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ฝ่ายไทยจัดการโดยทีแมคที่เป็นองค์การมหาชน
วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศไทย และประเทศกัมพูชา ลึกเข้าไปด้านละ 5 กิโลเมตร เป็นเขตเศษฐกิจร่วมตลอดแนวชายแดน บริหารจัดการร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา โดยจัดทำเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ (เอ็มโอยู) มีผลบังคับใช้ เมื่อรัฐสภาของทั้งสองฝ่ายให้ความเห็นชอบและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป้าหมาย
คณะกรรมการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน แต่งตั่งคณะอนุกรรมการยกร่างข้อตกลงระหว่างประเทศ(เอ็มโอยู) ว่าด้วยการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเขตเศรษฐกิจร่วม ลึกเข้าไปด้านละ 5 กิโลเมตร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นประธานอนุกรรมการ เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเจรจากับฝ่ายกัมพูชา เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับความเห็นชอบจากรัฐสภาของแต่ละฝ่าย จัดทำแผนปฏิบัติการ 5 ปี (พ.ศ.2556-พ.ศ.2560)ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2556
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
- พื้นที่ชายแดนไทย และพื้นที่ชายแดนกัมพูชา เนื้อที่ 7,000 ตารางกิโลเมตร (4,375,000 ไร่) เป็นพื้นที่ปลอดภัยต่อการดำรงชีพ ปลอดทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิดตกค้าง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งและสงครามในอดีต
- ผู้ประสบภัยทุ่นระเบิดและครอบครัว ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรฐานสากล จากรัฐบาลของทั้งสองฝ่าย ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ และมิตรประเทศ
- เกิดระบบพัฒนาพื้นที่ชายแดนร่วม ในลักษณะคอนแทรกฟาร์มมิ่ง ที่ให้ผลผลิตสูง ที่ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของโครงการทำสัญญากับภาคเอกชน ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย
- ทีแมคได้รับการยกสถานะเป็นองค์การมหาชน ภายใต้นายกรัฐมนตรี บริหารจัดการโครงการนี้ในฐานะตัวแทนรัฐบาลฝ่ายไทย
พลเอก ดร.วสุ ชนะรัตน์
ผู้ยกร่างโครงการฯ
27 ต.ค.2555